ประเภทของรากฟันเทียม
รากฟันเทียม (Dental Implant) เป็นทางเลือกในการทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไปอย่างถาวร โดยมีบทบาทสำคัญในการคืนความสามารถในการเคี้ยวและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย การเลือกประเภทของรากฟันเทียมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการใช้งานและอายุการใช้งานของรากฟันเทียม ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประเภทของรากฟันเทียมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
หัวข้อ
1. รากฟันเทียมแบบ Endosteal Implants (รากฟันเทียมฝังในกระดูก) พบบ่อย

เป็นรากฟันเทียมที่นิยมใช้มากที่สุด โดยจะฝังลงไปในกระดูกขากรรไกรโดยตรง มักทำจากไทเทเนียมหรือเซอร์โคเนีย มีรูปร่างหลากหลาย เช่น สกรู ทรงกระบอก หรือแผ่นบาง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกเพียงพอและสุขภาพช่องปากดี
ข้อดี:
- มีความมั่นคงสูง
- สามารถรองรับฟันปลอมทั้งซี่หรือหลายซี่ได้
- อายุการใช้งานยาวนาน
ข้อเสีย:
- ต้องผ่าตัดฝังในกระดูก
- ใช้เวลาพักฟื้นนาน
การใช้งานที่พบบ่อย:
- นิยมใช้สำหรับรากฟันเทียมแบบซี่เดียว
- เหมาะสำหรับ All-on-4 ในการทดแทนฟันทั้งขากรรไกร
2. รากฟันเทียมแบบ Subperiosteal Implants (รากฟันเทียมวางบนกระดูก)

ประเภทนี้จะอยู่บนกระดูกขากรรไกร แต่ใต้เนื้อเยื่อเหงือก โครงสร้างโลหะจะยึดติดกับกระดูกด้วยเนื้อเยื่ออ่อน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปริมาณกระดูกน้อยและไม่ต้องการทำกระดูกเสริม
ข้อดี:
- ไม่ต้องเจาะลึกลงในกระดูก
- ลดระยะเวลาผ่าตัด
ข้อเสีย:
- มั่นคงน้อยกว่าแบบ Endosteal
- มีโอกาสเกิดการติดเชื้อง่ายกว่า
3. Zygomatic Implants (รากฟันเทียมติดกระดูกโหนกแก้ม)

เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียกระดูกขากรรไกรในระดับสูง โดยฝังในกระดูกโหนกแก้มแทนกระดูกขากรรไกร
ข้อดี:
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรน้อยมาก
- ลดความจำเป็นในการเสริมกระดูก
ข้อเสีย:
- ผ่าตัดซับซ้อน
- ต้องการทีมทันตแพทย์เฉพาะทาง
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้รากฟันเทียม
- ปริมาณและคุณภาพของกระดูก
- สุขภาพช่องปากโดยรวม
- งบประมาณ
- ระยะเวลาการรักษา
สรุป
การเลือกประเภทของรากฟันเทียมควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนโดยปรึกษาทันตแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้การดูแลรักษาและการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอก็มีส่วนสำคัญในการยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียม