รากฟันเทียม
(Dental Implant)
เป็นวิธีการทดแทนฟันที่สูญเสียไปอย่างถาวร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย ฝังลงในกระดูกขากรรไกรเพื่อทำหน้าที่เป็นรากฟันใหม่ จากนั้นจึงติดครอบฟันหรือสะพานฟันเพื่อให้ใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ

รากฟันเทียม
เหมาะกับใคร ?
รากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่:
- สูญเสียฟันหนึ่งซี่หรือหลายซี่ และต้องการฟันที่แข็งแรงถาวร
- ไม่ต้องการใช้ฟันปลอมแบบถอดได้ และต้องการความมั่นคงมากขึ้น
- มีสุขภาพเหงือกและกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงเพียงพอสำหรับการฝังรากฟันเทียม
- ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการสมานตัวของกระดูก เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยวและรูปลักษณ์ของใบหน้า
ชนิดของ รากฟันเทียม Dental Implant
รากฟันเทียมสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่:
Single implant
คือการฝังรากเทียมเพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป 1 ซี่ หรือบางซี่ โดยใช้วัสดุไทเทเนียมฝังลงในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติ และติดตั้ง ครอบฟัน (Crown) ไว้ด้านบนเพื่อให้ดูเป็นฟันจริง

ข้อดีของการทำ
รากเทียมแบบซี่เดียว
- ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ – ทั้งด้านรูปลักษณ์และการใช้งาน
- แข็งแรง ทนทาน – ใช้งานได้นานหลายปี (10-20 ปีขึ้นไป)
- ไม่ต้องกรอฟันซี่ข้างเคียง – ต่างจากสะพานฟัน (Bridge) ที่ต้องกรอฟันข้างๆ
- ป้องกันกระดูกละลาย – เนื่องจากรากเทียมช่วยกระตุ้นกระดูกขากรรไกร
- ดูแลรักษาง่าย – ทำความสะอาดเหมือนฟันธรรมชาติ
ใครเหมาะกับ Single Dental Implant?
ผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่
หรือไม่กี่ซี่
ผู้ที่ต้องการฟันที่แข็งแรงและถาวร
ผู้ที่ไม่ต้องการกรอฟันข้างเคียง
ผู้ที่มีสุขภาพเหงือกและกระดูกขากรรไกรดี

All on 4 , All on 6
เป็นเทคนิคการฝังรากเทียมที่ช่วยทดแทนฟันทั้งปาก (Full Arch) โดยใช้รากเทียมเพียง 4-6 ตำแหน่งในขากรรไกรแต่ละข้าง ซึ่งช่วยให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งหมดสามารถกลับมามีฟันที่ใช้งานได้ดีและมีความสวยงามเหมือนฟันธรรมชาติ
ข้อดีของการทำ
All-on-4 , All -on- 6
- ใช้รากเทียมเพียง 4-6 ตัว – ต่างจากเทคนิคดั้งเดิมที่อาจต้องใช้ 6-8 ตัวต่อขากรรไกร
- ลดการปลูกกระดูก – ออกแบบให้รากเทียมด้านหลังเอียง 30-45 องศา เพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่กระดูกบาง ลดโอกาสต้องปลูกกระดูก
- ฟื้นตัวเร็ว – สามารถใส่ฟันชั่วคราวได้ทันทีหลังการผ่าตัด (Immediate Load)
- ประหยัดงบประมาณ – ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการฝังรากเทียมแบบดั้งเดิมที่ใช้จำนวนมากกว่า
- ใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ – แข็งแรง ทนทาน เคี้ยวอาหารได้ดี
ใครเหมาะกับ All-on-4 , All -on- 6?
ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปาก
ผู้ที่มีปัญหาฟันปลอมไม่พอดี ไม่สบาย
ผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ทนทานกว่าฟันปลอมถอดได้
ผู้ที่ต้องการฟันที่แข็งแรงและดูเป็นธรรมชาติ
รากฟันเทียม ช่วยอะไรได้บ้าง?

ช่วยให้เคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น
สามารถรับประทานอาหารได้หลากหลาย ไม่ต้องกังวลเรื่องฟันปลอมขยับหรือเจ็บเหงือก

ลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพช่องปาก
ป้องกันไม่ให้ฟันข้างเคียงเอียงล้ม ซึ่งอาจนำไปสู่ฟันผุหรือโรคเหงือก

รักษารูปหน้าและโครงสร้างกระดูกขากรรไกร
ป้องกันการยุบตัวของกระดูกขากรรไกรที่อาจทำให้ใบหน้าดูตอบลงและแก่ก่อนวัย

เพิ่มความมั่นใจในการพูดและยิ้ม
ไม่มีปัญหาฟันปลอมหลุดหรือเคลื่อน ทำให้พูดได้ชัดเจนและมีรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติ

ช่วยลดภาระของฟันที่เหลืออยู่
ป้องกันการรับแรงบดเคี้ยวมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ฟันที่เหลืออยู่แตกหรือสึกหรอเร็วขึ้น
ขั้นตอนการทำ รากเทียม (Dental Implant Process)
﹡ X-ray หรือ CT Scan – เพื่อตรวจสอบโครงสร้างกระดูกขากรรไกร, สภาพเหงือก และตำแหน่งที่เหมาะสม
﹡ ประเมินปริมาณกระดูก – หากกระดูกไม่เพียงพอ อาจต้องปลูกกระดูกก่อน
﹡ วางแผนตำแหน่งฝังรากเทียม – เพื่อให้สามารถรองรับแรงบดเคี้ยวได้ดี
﹡ ยกไซนัส (Sinus Lift) – กรณีต้องฝังรากเทียมบริเวณฟันบนด้านหลังและกระดูกมีความหนาไม่พอ
การปลูกกระดูกอาจใช้เวลาฟื้นตัว 3-6 เดือนก่อนจะฝังรากเทียมได้ หรือบางครั้งสามารถทำพร้อมกับการฝังรากเทียมได้เลย

﹡ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาทีต่อซี่
﹡ หลังฝังรากเทียมแล้ว จะเย็บปิดแผลและรอให้กระดูกยึดติดกับรากเทียม
﹡ ช่วงนี้ต้องหลีกเลี่ยงแรงกดที่บริเวณรากเทียม
﹡ บางกรณีอาจสามารถใส่ฟันชั่วคราวได้
﹡ พิมพ์ปากเพื่อออกแบบ ครอบฟัน (Crown) ที่มีสีและรูปร่างเหมือนฟันจริง
﹡ ใส่ครอบฟันถาวรบนรากเทียม
ระยะเวลาการทำรากฟันเทียม





ข้อควรปฏิบัติหลังใส่รากเทียม
(Dental Implant Aftercare)

หลังจากฝังรากเทียม การดูแลอย่างถูกต้อง จะช่วยให้แผลหายเร็ว ลดโอกาสการติดเชื้อ และช่วยให้รากเทียมอยู่ได้นานขึ้น
✅ กัดผ้าก๊อซให้แน่น – กัดผ้าก๊อซนานประมาณ 30-60 นาที เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล
✅ หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรง ๆ – อาจทำให้แผลเปิดและเลือดออก
✅ งดแปรงฟันบริเวณแผล – ใช้การบ้วนปากเบา ๆ ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปากที่แพทย์แนะนำ
✅ ประคบเย็นเพื่อลดบวม – ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณแก้ม 10-15 นาที ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง
อาหารที่ควรกิน (อาหารอ่อน)
✅ ซุป โจ๊ก ข้าวต้ม
✅ นม โยเกิร์ต สมูทตี้
✅ ไข่ตุ๋น เต้าหู้
🚫 อาหารที่ควรเลี่ยง
❌ อาหารแข็ง (เช่น ถั่ว ขนมปังแข็ง)
❌ อาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือร้อนจัด
❌ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
🦷 เริ่มแปรงฟันได้ด้วยแปรงขนนุ่ม ในวันที่ผ่าตัดรากเทียม และแปรงเบาๆบริเวณแผลผ่าตัด
🦷 ใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน (ยกเว้นบริเวณแผลในช่วงแรก)
🦷 บ้วนปากเบา ๆ ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อที่ทันตแพทย์แนะนำ
🚫 งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
🚫 หลีกเลี่ยงการใช้ลิ้นดุนหรือดูดบริเวณแผล
🚫 ห้ามใช้หลอดดูดน้ำ เพราะอาจทำให้แผลเปิด
🚫 ไม่ออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วง 2-3 วันแรก
💊 ทานยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง (หากมีอาการแห้ยา เช่น ผื่นคัน ปากบวม ตาบวม ควรหยุดยาทันที และรีบพบแพทย์)
📅 กลับไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจติดตามตามนัด
⚠️ เลือดไหลไม่หยุดนานเกิน 24 ชั่วโมง
⚠️ ปวด บวมแดง และมีหนองออกจากแผล
⚠️ มีไข้สูง หนาวสั่น หรือมีกลิ่นปากรุนแรง
ควรเข้าพบทันตแพทย์เป็นระยะเพื่อตรวจสอบสุขภาพของรากเทียมและเหงือก โดยทั่วไปแนะนำให้พบตามช่วงเวลาดังนี้
📅 1. ช่วงแรกหลังการผ่าตัดรากเทียม
🦷 1-2 สัปดาห์แรก → ตรวจแผล ดูอาการอักเสบ และตัดไหม (ถ้ามี)
🦷 1 เดือนหลังการฝังรากเทียม → ตรวจการสมานของกระดูกขากรรไกรกับรากเทียม
🦷 3-6 เดือนหลังจากใส่รากเทียม → ตรวจความแข็งแรงของรากเทียมและติดตั้งฟันถาวร
📅 2. หลังจากใส่ฟันถาวรแล้ว
🦷 ทุก 6 เดือน → ตรวจสุขภาพช่องปากทั่วไป ขูดหินปูนและทำความสะอาดรากเทียม
🦷 ทุกปี → ตรวจ X-ray เพื่อตรวจสอบว่ารากเทียมยังอยู่ในตำแหน่งที่ดี
💡 หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม อักเสบ หรือฟันเทียมหลวม ควรรีบพบทันตแพทย์ทันที
🔹 การดูแลและตรวจเช็คสม่ำเสมอจะช่วยให้รากเทียมใช้งานได้ยาวนาน 😊
การทำรากเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการดูแลเป็นพิเศษ แต่ให้ผลลัพธ์ที่แข็งแรง ทนทาน และใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยวและความสวยงามของฟันอย่างถาวร